English
Newsletter 2008
|
จดหมายข่าว
ฉบับปี 2551 |
1 / 2551 มกราคม
- กุมภาพันธ์
|
>> สาส์นสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่
16 วันผู้ป่วยสาากลครั้งที่16
>> สาส์นพระสังฆราชฯ
โอกาสวันผู้ป่วยสากล
>> ท่าทีการเยี่ยมผู้ป่วย
โอกาสวันผู้ป่วยสากล
>> ความคืบหน้างานผู้สูงอายุสังฆมณฑล
2550-2551
>> การจัดอบรมเรื่องกองทุนกู้ยืมเพื่อการพัฒนาคน
Micro-Finance
>> สถานการณ์โรคเอดส์ในประเทศไทย
|
ท่าทีการเยี่ยมผู้ป่วย
โอกาสวันผู้ป่วยสากล
|
พระศาสนจักรให้ความสำคัญกับ
"ผู้ป่วย" เป็นพิเศษเพราะในทุกชุมชนเราจะพบผู้ป่วย ในรูปแบบต่างๆ
ตลอดเวลา ทั้งผู้เจ็บไข้ได้ป่วยทั่วไปที่ปรากฏอาการชัดทางร่างกาย และผู้ที่เจ็บป่วยด้านจิตใจ
ในอดีต การเอาใจใส่ดูแลผู้เจ็บป่วย ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้อ่อนแอ ถือเป็นภารกิจหนึ่งที่พระเยซูเจ้าปฏิบัติควบคู่ไปกับภารกิจก่ารไถ่กู้
นั่นเท่ากับเป็นการบอกว่าการดูแลเอาใจใสผู้เจ็บป่วย ผู้สูงอายุ ฯลฯ เป็นภารกิจของคริสตชนด้วย
แม้ว่าเราแต่ละคนจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญพิเศษหรือนักจิตวิทยาใดๆ แต่กล่าวได้ว่าการดูแลเอาใจใส่ผู้ป่วย
และผู้สูงอายุ ถือเป็นการกระทำที่ถูกต้องและเหมาะสม และเป็นต้น ผู้ที่เป็นสมาชิกกลุ่มกิจกรรมคาทอลิกต่างๆ
ในวัด |
|
แผนกสุขภาพอนามัยได้จัดแปลและพิมพ์หนังสือขนาดพกพาเล่มหนึ่งชื่อ
"การอภิบาลผู้ป่วย" เพื่อเป็นคู่มือสำหรับการอภิบาลผู้ป่วยทั่วไป
ผู้ป่วยระยะสุดท้าย และผู้สูงอายุ เนื้อหาภายในเล่มประกอบด้วย 1.คำแนะนำทั่วไปเมื่อออกไปเยี่ยมผู้ป่วยที่บ้านและที่โรงพยาบาล
2.การเตรียมตัวเมื่อต้องออกเยี่ยมผู้สูงอายุและผู้ป่วยใกล้สิ้นใจ 3.ศีลเจิมผู้ป่วย
ศีลมหาสนิท และบทภาวนาสำหรับผู้ป่วย 4.ข้อมูลรายชื่อสถานบริการคาทอลิกที่ให้บริการสังคมด้านสุขภาพอนามัย
|
|
โอกาสนี้ขอคัดเนื้อหาบางส่วนมานำเสนอเพื่อเป็นแนวทางในการไปเยี่ยมผู้ป่วยอย่างถูกต้อง
เราทราบกันดีว่า ผู้สูงอายุของเราก็เหมือนเราทุกคน ต่างพยายามที่จะมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว
เพื่อนฝูงและเพื่อนบ้าน ความต้องการยิ่งใหญ่ที่สุดประการหนึ่งของผู้สูงอายุ
คือความรู้สึกว่าตนยังเป็นที่ต้องการ แต่ความรู้สึกว่าตนเป็นภาระต่อคนอื่น
เป็นคนไร้ประโยชน์ และเป็นผู้ที่น่าละอายสำหรับครอบครัวคือภาระหนักหน่วงที่สุดในด้านจิตใจสำหรับผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุต้องการคนฟังเรื่องราวของเขา บางครั้งเขาจะเล่าเรื่องเก่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่ก็ยังรู้สึกดีใจที่ได้เล่าเรื่องของตน ใครที่อยากไปเยี่ยมผู้สูงอายุต้องยอมรับได้กับเรื่องที่พูดซ้ำซากหรือการบ่นจู้จี้ของผู้สูงอายุ
|
|
1. คำแนะนำในการเยี่ยมผู้ป่วยตามบ้าน |
ก่อนการเยี่ยม |
1 |
สวดภาวนาก่อนออกเยี่ยม สวดพร้อมกับเพื่อนที่จะออกไปเยี่ยมด้วยกันหากทำได้
วิงวอนพระจิตเจ้าให้ช่วยท่านเตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ |
2 |
หาเหตุผลสำหรับการเยี่ยม หากเป็นการเยี่ยมครั้งแรกของท่าน
ให้ถามตนเองถึงวัตถุประสงค์
ของการเยี่ยมด้วย ต้องเตรียมคำพูดสำหรับการแนะนำตัวต่อครอบครัวที่จะไปเยี่ยม
หากท่านไม่สามารถที่จะไปเยี่ยมซ้ำอีกหรือไม่มีเจตนาที่จะไปเยี่ยมอีก
ก็จงอย่าไปเสียเลยจะดีกว่า และไม่ควรจะมีความคิดประหลาดๆ เช่น นำผู้ทิ้งวัดกลับเข้าวัด
หรือเปลี่ยนความเชื่อของเขาให้มานับถือศาสนาคาทอลิก |
3 |
ก่อนออกเยี่ยมควรนัดเสียก่อน ท่านควรแน่ใจเสียก่อนว่าคนป่วยหรือครอบครัวของเขาต้องการให้มีคนมาเยี่ยมจริงๆ
หรือเพราะท่านอยากไปเยี่ยมเองโดยที่เขาไม่ได้ขอร้อง ดังนั้นอย่าไปเยี่ยม
หากไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า |
4 |
หาข้อมูลให้กับตนเองเกี่ยวกับศาสนาที่ครอบครัวนั้นนับถือและเกี่ยวกับคนป่วยด้วย
สำนึกให้ มากเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมและวิธีการแต่งกายหรือเกี่ยวกับเรื่องของอาหารการกิน
บางคนไม่อยากให้เพศตรงข้ามมาเยี่ยม ผู้เยี่ยมที่เป็นเพศเดียวกันกับคนป่วยดูจะเหมาะสมกว่า |
5 |
อย่าใส่เสื้อผ้าสีดำเพราะในหลายๆ วัฒนธรรมหมายถึงการไว้ทุกข์
|
6 |
หากทราบข่าวเศร้าของเพื่อนบ้าน จงมีความรู้สึกร่วมถึงการสูญเสียนั้น
เตรียมพร้อมที่จะรับฟังและสวดภาวนาในใจขณะที่กำลังรับฟังเรื่องราวของเขา
นี่เป็นการกระทำที่ให้กำลังใจแก่เขามากกว่าคำพูดใดๆ ที่ท่านอาจนำมากล่าวได้ |
7 |
เลือกวันเวลาที่สะดวกสำหรับครอบครัวที่ท่านจะไปเยี่ยม
และใช้เวลาเยี่ยมพอสมควรโดยไม่ต้องแสดงอาการรีบเร่ง |
|
ระหว่างการเยี่ยม |
1 |
แนะนำตนเองว่ามาจากวัดไหน หน่วยงานไหน
หรือจากกลุ่มใดแล้วแต่กรณี แสดงให้เขาเห็นว่าท่านไม่ได้มาเยี่ยมตามลำพัง
แต่นำเอาคำภาวนาและความห่วงใยของทั้งชุมชนมาฝากด้วย
เพื่อให้เขามั่นใจว่ามีคนอีกมากที่เห็นใจและอยู่เบื้องหลังในยามที่เขาเกิดมีความยุ่งยาก |
2 |
อย่าให้สัญญาใดๆ ที่ท่านไม่สามารถหรือไม่ได้ตั้งใจที่จะปฏิบัติ
จะเป็นการดีกว่าที่ท่านรู้สึกว่า
ตนไม่มีประโยชน์และไม่สามารถช่วยอะไรได้ จะทำให้ผู้อื่นต้องผิดหวังต่อความไว้เนื้อเชื่อใจของเขา
แต่ให้ช่วยกันคิดว่าท่านและชุมชนพอจะช่วยเหลืออะไรเขาได้บ้าง |
3 |
ประเมินความต้องการของคนป่วย คุยถึงความต้องการของเขากับครอบครัวของเขาและขออนุญาตเขาก่อนที่จะลงมือทำอะไร
คนป่วยและครอบครัวอาจยอมรับความช่วยเหลือของท่านหลังจากที่พวกเขาให้ความเชื่อใจท่านเท่านั้น
และสิ่งนี้อาจต้องการการเยี่ยมมากกว่าหนึ่งครั้ง |
4 |
ขออนุญาตก่อนที่จะสวดภาวนาพร้อมกันหรือสวดสำหรับผู้ป่วย
ท่านอาจสวดเงียบๆหรือเสียงดังพอได้ยิน ท่านอาจเชิญสมาชิกองครอบครัวให้ร่วมสวดกับท่านก็ได้
แล้วแต่ศาสนาของเขา |
5 |
หากผู้ป่วยเป็นคาทอลิก ท่านควรถามว่าเขาต้องการให้พระสงฆ์มาเยี่ยมไหมเพื่อแก้บาปและรับศีลเจิม
ให้ถามด้วยว่าพวกเขาต้องการที่จะรับศีลมหาสนิทไหม |
6 |
ศัตรูร้ายการที่สุดคือ การเร่งรีบ
จงพร้อมที่จะอุทิศเวลาของท่านแก่ผู้ป่วยอย่างจริงใจ |
7 |
"ฟัง" ให้มากกว่า "พูด"
ถามก็ต่อเมื่อจะทำให้คนป่วยรู้สึกสบายใจขึ้น อย่าพยายามซอกแซกหรือตื๊อเพื่อหาข้อมูลที่เขายังไม่ได้บอก
|
8 |
อย่าพยายามกลบเกลื่อนเรื่องที่สร้างความเจ็บปวดของเขา
แต่ท่านสามารถรับฟังด้วยความเห็นอกเห็นใจและรับรู้ถึงความเจ็บปวดและความกังวลใจของคนป่วย
เลี่ยงใช้คำพูด เช่น "ไม่ต้องเป็นห่วง ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง"
คำพูดดังกล่าวเป็นการปิดปากคนป่วย ปล่อยให้เขาร้องไห้ โดยที่ท่านทำให้เขามั่นใจว่า
ท่านอยู่ที่นั่นเพื่อเขา |
9 |
การไปเยี่ยมครั้งละสองคนมักบังเกิดผลดีกว่าไปคนเดียว
เพื่อที่คนหนึ่งจะได้อยู่ข้างคนป่วย ส่วนอีกคนพูดคุยกับครอบครัวของเขา
หรือทำอะไรที่เป็นประโยชน์ |
10 |
การแตะสัมผัสอาจทำให้เกิดความสบายใจได้มาก
ภาษากายเป็นการเน้นถึงความสนใจในการมาเยี่ยม แต่ให้ระมัดระวังการสัมผัสที่ไม่เหมาะสม |
11 |
นัดล่วงหน้าถึงการเยี่ยมครั้งต่อไปเสมอ
บอกเขาให้มั่นใจในคำภาวนาและความพยายามของชุมชนเพื่อช่วยเหลือคนป่วยและครอบครัวของเขา
ช่วงที่ไม่มีการเยี่ยมอาจโทรศัพท์ไปไถ่ถามจะเป็นความบรรเทาที่ดีสำหรับครอบครัวผู้ป่วย
ทำให้พวกเขารู้สึกว่าเขาไม่ได้ถูกทอดทิ้ง |
12 |
การเยี่ยมอย่าให้ยาวนานเกินไป คนป่วยอาจมีคนมาเยี่ยมแยะ
หรืออาจเหน็ดเหนื่อยง่าย จงมีความรู้สึกไวต่อความเป็นส่วนตัวของเขาด้วย |
13 |
ระวังอย่าพูดถึงคนป่วยกับญาติถึงแม้คนป่วยจะไม่รู้สึกตัวแล้วก็ตาม
เพราะเขาอาจได้การสนทนานั้นเพียงแต่เขาไม่สามารถพูดตอบได้ เป็นเรื่องน่าละอายมากที่เขาจะถูกกล่าวถึงหรือได้รับการปฏิบัติเหมือนเขาเป็นตัวปัญหา
14. เวลาที่ท่านไปเยี่ยมบังเอิญคนป่วยหลับอยู่ ขอให้ท่านสวดภาวนาเงียบๆ
หากมีสมาชิกในครอบครัวอยู่ด้วย ท่านอาจใช้เวลานั้นไถ่ถามสถานการณ์ต่างๆของพวกเขาด้วยก็ได้
|
|
หลังการเยี่ยม |
1 |
เขียนบันทึกเกี่ยวกับการเยี่ยม มอบรายงานนั้นให้กลุ่มและอย่าลืมว่าทุกสิ่งที่พูดไว้เป็นความลับ
และอย่านำมาวิพากย์วิจารณ์กัน |
2 |
ติดตามงานที่ให้สัญญาไว้ และพยายามชวนเพื่อนบ้านให้เข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด |
3 |
สวดภาวนาให้คนป่วยและครอบครัวที่ท่านไปเยี่ยมทุกวัน |
4 |
เป็นการดีกว่า หากให้ความช่วยเหลือครอบครัวเดียวหรือคนป่วยคนเดียวด้วยความสัตย์ซื่อ
แทนที่จะเยี่ยมมากมายแล้วเฉื่อยแฉะในการติดตามผล พยายามหาเพื่อนมาร่วมด้วยหลายๆ
คนในพันธกิจนี้หากมีคนป่วยหลายคนที่ต้องการความช่วยเหลือ |
5 |
โทรศัพท์ไปขอเยี่ยมก่อนที่จะออกเยี่ยมครั้งต่อไป
|
6 |
เมื่อคนป่วยหายดีแล้ว หรือเมื่อสมาชิกคนหนี่งในครอบครัวเสียชีวิตไป
ขอให้ไปเยี่ยมอีกสองสามครั้งเพื่อเป็นหลักประกันว่า พวกเขาสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ด้วยดีในสภาพการณ์ใหม่
|
7 |
ไม่ควรช่วยเหลือด้านการเงินจากกระเป๋าของท่านเอง
โปรดจำไว้ว่าท่านทำในพระนามของพระคริสตเจ้าและท่านถูกส่งไปโดยชุมชน หากท่านผูกพันกับครอบครัวใดจนเกินไป
หรือเขาไม่สามารถคืนเงินให้ท่านได้ นั่นอาจกลายเป็นปัญหาของความสัมพันธ์ต่อกันในภายหลัง |
|
การเยี่ยมคนป่วย คนชราในสถานพยาบาล
หลักการเยี่ยมคนป่วยที่บ้านใช้ได้หมดยกเว้นข้อต่อไปนี้ |
1 |
ต้องเป็นการเยี่ยมที่ใช้เวลาเพียงสั้นๆ
เพราะต้องคำนึงถึงกฎระเบียบของโรงพยาบาล |
2 |
ขออนุญาตคนป่วยก่อนที่จะนั่งที่ขอบเตียง
การนั่งที่ขอบเตียงก็เพื่อที่จะไม่ให้คนป่วยต้องเกร็ง
มองหรือฟังท่าน |
3 |
หากท่านรู้จักกับคนป่วยดี ให้จับมือเขาเพื่อแสดงถึงความสนิทสนม |
4 |
จงฟังมากกว่าพูด |
5 |
ไม่ใช่ธุระอะไรของท่านที่จะเสนอชื่อแพทย์คนนั้นคนนี้หรือเปลี่ยนวิธีการรักษา
คนป่วยอาจรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยหรือเกิดอาการสับสนขึ้นได้ |
6 |
อย่าซอกแซกเพื่อสนองความมักรู้มักเห็นของท่าน
อย่าอ่านแผ่นกระดานแพทย์ที่ปลายเตียงเพื่อทราบว่าแพทย์สั่งยาอะไรไปบ้าง
จงพอใจกับข้อมูลที่คนป่วยพูดให้ฟังเท่านั้น |
7 |
สนทนาแบบสร้างสรรค์และให้กำลังใจโดยไม่มีการตัดสินอะไรทั้งสิ้น |
8 |
จงมีความรู้สึกไวต่อคนป่วยอื่นๆ
ในห้อง ทักทายพวกเขาอย่างมีมารยาทเมื่อแรกพบและเมื่ออำลา อย่าส่งเสียงดังหรือสวดดังเกินควร
จงระลึกว่าการขับร้องและบทสวดยาวๆ ไม่เหมาะสมสำหรับคนป่วยที่มีอาการหนัก
|
|
เมื่ออัตราการตายลดลง
อายุเฉลี่ยของคนสูงขึ้น ดังนั้นในอนาคตอันไม่ไกลนี้ สังคมโลกจะมีประชากรสูงอายุจำนวนมาก
ซึ่งมีผู้สูงอายุทั้งที่อยู่ในบ้าน ในสถานบริการของรัฐหรือเอกชน หรือกระทั่งบนท้องถนน
วันพรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง แต่วันนี้หากท่านมีเวลาจงหาโอกาสไปเยี่ยมผู้เจ็บป่วย
ผู้สูงอายุบ้าง และจงขอบคุณพระเป็นเจ้า ที่ท่านยังแข็งแรงพอที่จะเดินไปเยี่ยมผู้อื่นที่กำลังป่วยอยู่
BACK |