|
สาส์นพระสันตะปาปา
เบเนดิกต์ ที่ 16
โอกาสวันผู้ป่วยสากลครั้งที่
20
11 กุมภาพันธ์
ค.ศ.2012
(แปลและเรียบเรียงจากต้นฉบับภาษาอิตาเลียน
โดยบาทหลวงสิรนนท์ สรรเพ็ชร์ คณะนักบวคามิลเลียน)
|
"จงลุกขึ้น ไปเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ท่านรอดพ้นแล้ว"
(ลก 17: 19)
|
พี่น้องที่รัก
|
ในโอกาสวันผู้ป่วยสากลซึ่งเราจะฉลองกันในวันที่11กุมภาพันธ์
2012 วันระลึกถึงแม่พระแห่งเมืองลูร์ดที่กำลังมาถึง พ่อตั้งใจรื้อฟื้นความปรารถนาที่จะอยู่ใกล้ชิด
ฝ่ายจิตกับผู้ป่วยทุกคนทั้งที่กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลหรือที่ครอบครัวกำลังดูแลอยู่ที่บ้านโดยให้แต่ละท่านตระหนักรับรู้ถึงความพร้อมที่จะช่วยเหลือและความรักที่พระศาสนจักรทั้งมวลมีต่อท่านด้วยท่าทีแห่งความรักเมตตาต้อนรับทุกชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้ที่อ่อนแอและผู้เจ็บป่วย
คริสตชนคนหนึ่งเมื่ออยู่ในภาวะเช่นนั้นก็ได้แสดงออกถึงลักษณะเด่นสำคัญของการเป็นประจักษ์พยานแห่งพระวรสารด้วยตนเองตามแบบฉบับพระคริสตเจ้าผู้ทรงรับเอาความทุกข์ทรมานของมนุษย์ทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิตทั้งนี้เพื่อเยียวยารักษาเขา
|
1. ปีนี้เราเตรียมการกันอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดเพื่อร่วมฉลองวันผู้ป่วยสากลอย่างสง่าและเป็นทางการในครั้งต่อไป
เราจะฉลองกันอย่างเป็นทางการและอย่างสง่าอีกครั้งที่เยอรมันในวันที่
11 กุมภาพันธ์ 2013โดยหัวข้อมุ่งประเด็นไปที่ภาพของการเป็นชาวสะมาเรียผู้ใจดีที่ปรากฏในพระวรสาร
(เทียบ ลก 10: 29-37) ซึ่ง ณ ที่นี้พ่อเองอยากจะเน้นไปที่ "ศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งการเยียวยารักษา"
อันได้แก่ ศีลอภัยบาป ศีลแห่งการคืนดีและศีลเจิมผู้ป่วยซึ่งศีลศักดิ์สิทธิเหล่านี้มีธรรมชาติที่สมบูรณ์ครบครันในศีลมหาสนิท
เมื่อครั้งที่พระเยซูทรงรักษาผู้ป่วยโรคเรื้อนสิบคนตามที่บันทึกไว้ในพระวรสารของนักบุญลูกา(เทียบลก17:11-19)โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระวาจาที่พระองค์ตรัสกับคนหนึ่งในบรรดาผู้ป่วยนั้นว่า
"จงลุกขึ้นไปเถิดความเชื่อของท่านทำให้ท่านรอดพ้นแล้ว"(ข้อ19)
พระวาจาตอนนี้ ช่วยให้เราตระหนักถึงความสำคัญของความเชื่อซึ่งเกิดขึ้นกับผู้กำลังตกในสภาพทุกข์ทรมานและเจ็บป่วยทำให้เข้าใกล้ชิดกับพระเยซูคริสต์
ในการพบปะกับพระองค์ พวกเขาเข้าถึงประสบการณ์อันแท้จริงซึ่งช่วยให้ผู้ที่เชื่อไม่อยู่อย่างโดดเดี่ยว!
อันที่จริงองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยทางพระบุตรของพระองค์ไม่ทอดทิ้งใครแม้สักคนเดียวให้ตกอยู่ในความกลัดกลุ้มและความทุกข์ตามลำพังแต่ตรงกันข้ามทรงอยู่ใกล้ชิด
และทรงช่วยเราเผชิญกับสถานการณ์เหล่านี้ และทรงต้องการเยียวยารักษาเรา
ณ ก้นบึ้งแห่งหัวใจเรา (เทียบ มก 2: 1-12)
ความเชื่อของผู้ป่วยโรคเรื้อนคนเดียวเท่านั้นซึ่งมองดูได้ว่าเขาได้รับการเยียวยารักษาแล้วโลดเต้นด้วยความยินดี
รีบกลับมาหาพระเยซูทันทีเพื่อขอบคุณซึ่งไม่เหมือนอีกเก้าคนไม่ได้กลับมาขอบคุณ
ทำให้เราเข้าใจได้ว่าสุขภาพที่ได้รับกลับคืนมาอีกครั้งนั้นเป็นเครื่องหมายถึงบางอย่างที่มีคุณค่าความหมายมากกว่าการเยียวยารักษาทางกายให้หายนั่นคือเป็นเครื่องหมายแห่งความรอดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานแก่เราโดยทางพระคริสต์และเป็นไปตามพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ว่าความเชื่อของท่านทำให้ท่านรอดพ้นแล้ว
ผู้อยู่ในสภาพที่ทุกข์ทรมานและเจ็บป่วยไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนเมื่อเข้ามาวิงวอนขอต่อพระองค์และเพราะความรักของพระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งพวกเขาพร้อมทั้งสิ่งนี้เองเป็นการแสดงความรักของพระศาสนจักรที่ทำให้การภารกิจแห่งการไถ่กู้ของพระองค์เป็นไปต่อเนื่องไม่ขาดสาย
การเยียวยารักษาทางกายถือเป็นการแสดงออกภายนอกสื่อถึงความรอดพ้นภายในที่ลึกที่สุด
และเป็นการเผยแสดงความสำคัญที่ว่า มนุษย์ทั้งครบทั้งวิญญาณและกายมีไว้เพื่อพระเจ้า
|
ศีลศักดิ์สิทธิ์แต่ละประการตามความเป็นจริงแล้วทำให้ความใกล้ชิดของพระเจ้าเองแสดงออกเป็นจริงขึ้นมาในการที่พระองค์มอบตนเองเป็นของประทานด้วยพระทัยอิสระจนถึงที่สุดและสัมผัสเราได้โดยผ่านทางสิ่งที่มองเห็นได้...ซึ่งพระองค์ทรงนำมาใช้เพื่อทำให้สิ่งต่างๆเหล่านี้กลับกลายเป็นเครื่องมือพบปะกันระหว่างเรากับพระองค์"(บทเทศน์ในมิสซาบูชาขอบพระคุณเสกน้ำมัน-
1 เมษายน 2010) "การรวมเป็นหนึ่งเดียวระหว่างสิ่งสร้างกับการไถ่กู้ถูกทำให้ปรากฏขึ้นมา
ศีลศักดิ์สิทธิ์เป็นการแสดงออกของลักษณะทางกายภาพแห่งความเชื่อของเราซึ่งโอบกอดไว้ในความเป็นบุคคลทั้งครบนั่นคือโอบกอดเราทั้งกายและวิญญาณนั่นเอง"(บทเทศน์ในมิสซาบูชาขอบพระคุณเสกน้ำมัน-
21 เมษายน 2011)
แน่นอนภารกิจหลักของพระศาสนจักรคือการประกาศพระอาณาจักรพระเจ้า"แต่การประกาศนี้จะเด่นชัดได้ต้องอยู่ในแวดวงการเยียวยารักษา
"ไปปลอบโยนคนที่มีใจชอกช้ำ' (อสย 61:1)" ตามที่พระเยซูเจ้าได้มอบหมายภารกิจนี้แก่บรรดาอัครสาวก
(เทียบ ลก 9:1-2, มธ 10:1,5-14, มก 6:7-13) การเชื่อมโยงกันระหว่างสุขภาพทางกายและการฟื้นฟูตนเองจากแผลหลังจากที่ต้องทรมานด้านวิญญาณจึงช่วยให้เราเข้าใจถึง
"ศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งการเยียวยารักษา" ได้ดีมากกว่า
2. ศีลอภัยบาปได้เคยเป็นศูนย์กลางในการรำพึงไตร่ตรองของผู้อภิบาลของพระศาสนจักรเสมอมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากสำหรับเส้นทางชีวิตคริสตชน
นั่นคือ "พลังทั้งมวลของศีลอภัยบาปนั้นอยู่ที่การทำให้เราคืนสู่พระหรรษทานของพระเจ้า
และรวมเราไว้กับพระองค์ด้วยมิตรภาพที่ใกล้ชิด" (คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก
ข้อ 1468) พระศาสนจักรซึ่งกำลังประกาศสารของพระเยซูเจ้าในเรื่องการให้อภัยและการกลับใจไม่เคยหยุดยั้งที่จะเชื้อเชิญมนุษยชาติทั้งมวลให้กลับใจและเชื่อในพระวรสาร
พระศาสนจักรทำตามเสียงเรียกร้องของอัครสาวกเปาโลที่ว่า"ดังนั้นเราจึงเป็นทูตแทนพระคริสตเจ้า
ประหนึ่งว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้เชิญชวนท่านทั้งหลาย เราจึงขอร้องแทนพระคริสตเจ้าว่าจงยอมคืนดีกับพระเจ้าเถิด
(2 คร 5:20)" พระเยซูเจ้าในระหว่างที่พระชนม์อยู่ในโลกนี้ได้ทรงประกาศและทำให้พระเมตตากรุณาของพระบิดาปรากฏออกมา
พระองค์มิใช่มาเพื่อลงโทษหรือประณามแต่เพื่อประทานการอภัยและช่วยให้รอดพ้น
เพื่อประทานความหวังในท่ามกลางความมืดมิดอันเกิดจากความทุกข์ทรมานและความบาป
และเพื่อประทานชีวิตนิรันดร ดังนั้นโดยทางศีลอภัยบาปนั่น "ในโอสถแห่งการยอมรับผิดนี้"
ประสบการณ์กับบาปจึงไม่ได้บั่นทอนชีวิตให้ตกต่ำสิ้นหวังแต่ทำให้พบกับความรักซึ่งให้อภัยและเกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิต
(เทียบ พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 สมณสาสน์ เรื่องการกลับใช้และใช้โทษบาป-Reconciliatio
et Paenitentia 31)
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา (อฟ 2:4) เหมือนดังบิดาในคำเปรียบที่บันทึกในพระวรสาร
(เทียบ ลก 15: 11-32) ไม่ได้ทรงปิดกั้นหัวใจของพระองค์กับลูกๆ เลย
แต่ทรงรอคอย และแสวงหาพวกเขา มาพบกับพวกเขาในทุกๆที่ที่มีการขัดแย้ง
ทุกที่ที่ไม่ยอมรับกัน ทุกที่ที่จำจองพวกเขาไว้ในความโดดเดี่ยวและการถูกกีดกันแบ่งแยก
อีกทั้งพระองค์ทรงเรียกพวกเขาให้มารวมกันรอบๆโต๊ะกับพระองค์ร่วมกันชื่นชมยินดีกับการฉลองแห่งการให้อภัยและการกลับคืนดีในช่วงเวลาความทุกข์ทรมานด้วยสภาพของคนหนึ่งอาจจะถูกประจญให้สิ้นหวังและท้อแท้นี้อาจจะถูกเปลี่ยนแปลงให้เป็นช่วงเวลาแห่งพระหรรษทานจนสามารถกลับคืนสู่ตัวตนอีกครั้งเหมือนดังลูกล้างผลาญในพระวรสารที่เขาได้คิดใหม่เกี่ยวกับชีวิตตนเอง
เขาสำนึกในความผิดพลาดและความล้มเหลว เขาได้สัมผัสความรู้สึกถึงอ้อมกอดของพระบิดาและดำเนินชีวิตในหนทางที่มุ่งสู่บ้านของพระบิดา
ด้วยความรักสุดเปรียบปรานนี้เองพระองค์ทรงเฝ้าดูแลชีวิตของพวกเราในทุกที่ทุกเวลาและรอคอยเพื่อทรงประทานพระพรแห่งการกลับคืนดีและความชื่นชมยินดีอย่างเต็มเปี่ยมแก่ลูกๆ
ทุกคนของพระองค์ที่กลับเข้ามาหาพระองค์อีกครั้ง
|
|
3.จากคำบันทึกในพระวรสาร ปรากฏอย่างชัดเจนที่ว่า
พระเยซูเจ้าทรงให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อผู้ป่วยอยู่เสมอ พระองค์ไม่ได้ส่งสาวกของพระองค์ไปเพื่อดูแลเอาใจใส่ความเจ็บป่วยของพวกเขาเท่านั้น(มธ:10,8
ลก:9,2;10,9) แต่ทรงตั้งศีลศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษสำหรับพวกเขาด้วยนั่นคือศีลเจิมผู้ป่วย
จดหมายของนักบุญยากอบยืนยันความเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์นี้แล้วในกลุ่มคริสตชนกลุ่มแรก(เทียบ5:14.16)นั่นคือโดยอาศัยการเจิมผู้ป่วยและการวอนงขอของผู้อาวุโสพระศาสนจักรทั้งมวลมอบผู้ป่วยไว้กับพระเยซูเจ้าที่ทรกำลังทุกข์ทรมานและที่กลับคืนพระชนมชีพแล้ว
เพื่อขอพระองค์ทรงบรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยและช่วยให้รอดพ้น
ยิ่งกว่านั้นพระศาสนจักรเชื้อเชิญส่งเสริมพวกเขาให้ร่วมเป็นหนึ่งเดียวเจริญชีวิตฝ่ายจิตกับพระมหาทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์เพื่อ
ด้วยวิธีการนี้ก็เป็นการเสริมสร้างเพิ่มพูนความดีแก่มวลประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ศีลศักดิ์สิทธิ์ประการนี้นำเรารำพึงถึงธรรมล้ำลึกสองประการที่เกิดขึ้นที่ภูเขามะกอกเทศ
สถานที่ซึ่งพระเยซูเจ้าเองได้เศร้าสลดพระทัยที่ต้องเผชิญกับหนทางที่พระบิดาเจ้าทรงมอบให้กับพระองค์นั่นคือหนทางทางแห่งการรับทนทุกข์ทรมาน.
สุดยอดแห่งความรักสูงสุดโดยที่พระองค์ทรงยอมรับตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้าในช่วงแห่งการทดลองความยากลำบากแสนเข็ญ
เช่นนี้ ขณะนั้นพระองค์ทรงเป็นคนกลาง"ที่ทรงรับเอาความทุกข์ทรมานและนำเอาการทนทุกข์ทรมานของโลกไว้ในพระองค์โดยพระองค์เอง
เป็นการแปรเปลี่ยนความทุกข์ทรมานนั้นให้เป็นเสียงร้องไปถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าและนำเอาความทุกข์ทรมานนี้ไปเฉพาะพระเนตรและมอบในพระหัตถ์ของพระองค์เช่นนี้แท้จริงก็เป็นการนำเอาความทุกข์ทรมานเข้าไปอยู่ในช่วงเวลาของการไถ่กู้นั่นเอง"(เล็กชีโอ
ดีวีนา "การพบปะกับพระสงฆ์ที่กรุงโรมวันที่18กุมภาพันธ์2010)
แต่ "สวนมะกอกเทศนี้ยังเป็นสถานที่ที่พระองค์เสด็จขึ้นไปหาพระบิดาด้วย
ดังนั้นจึงเป็นสถานที่แห่งการไถ่กู้...ธรรมล้ำลึกสองประการนี้ที่เกิดขึ้นที่ภูเขามะกอกเทศยังคง"บังเกิดผลเสมอ"ในน้ำมันที่พระศาสนจักรเจิมด้วยศีลศักดิ์สิทธิ์..นั่นหมายถึงความดีขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่เข้ามาสัมผัสเรา"
(บทเทศน์ในมิสซาบูชาขอบพระคุณเสกน้ำมัน-1เมษายน2010) ในการเจิมผู้ป่วยน้ำมันที่ใช้เป็นสสารของศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ถูกใช้กับเราเพื่อที่จะเป็นไปดังที่ว่า
"เป็นโอสถรักษาขององค์พระผู้เป็นเจ้า...ซึ่งตอนนี้ทำให้เรามั่นใจในความดีของพระองค์ด้วยการมอบพละกำลังและความบรรเทาใจให้แก่เราในขณะเดียวกันไปเลยโพ้นคุณค่าเหนือความเจ็บป่วยและช่วยให้เรานึกถึงการเยียวยารักษาสุดท้าย
คือ การกลับคืนชีพ (เทียบ ยก 5: 14")
ศีลศักดิ์สิทธิ์ประการนี้สมควรได้รับการพิจารณาไตร่ตรองให้มากขึ้นในทุกวันนี้ทั้งในแง่ของเทววิทยาและการอภิบาลผู้ป่วย
บทภาวนาอันทรงคุณค่าที่อยู่ในพิธีกรรมนี้สามารถประยุกต์ได้ในสถานการณ์ความเจ็บป่วยต่างๆและคงไม่ใช่เพียงแต่ในการจบสิ้นชีวิตเท่านั้น(คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก
ข้อ 1514) การเจิมผู้ป่วยไม่ควรถือว่าเป็น "ศีลน้อย" เมื่อเปรียบเทียบกับศีลประการอื่น
ความสนใจและการอภิบาลผู้ป่วยในด้านหนึ่งเป็นเครื่องหมายถึงความเอ็นดูขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อผู้ที่กำลังทุกข์ทรมานในอีกด้านหนึ่งบังเกิดผลดีเจริญชีวิตฝ่ายจิตให้กับพระสงฆ์และชุมชนคริสตชนด้วยความสำนึกที่ว่าสิ่งซึ่งได้กระทำกับพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุด
ได้กระทำสิ่งนั้นต่อพระเยซูเจ้าเอง (เทียบ มธ 25: 40)
|
|
4.เมื่อพูดถึง"ศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งการเยียวยารักษา"นักบุญออกัสตินยืนยันว่า:"องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักษาความเจ็บไข้ทั้งมวลของท่าน
ดังนั้นจงอย่ากลัวไปเลยความเจ็บไข้ทั้งมวลของท่านจะได้รับการเยียวยารักษา...ท่านต้องปล่อยให้พระองค์เข้ามารักษาท่านและท่านต้องไม่ปฏิเสธพระหัตถ์ของพระองค์"(คำอธิบายบทสดุดี
102 -ExpositiononPsalm 102,5;PL36,1319,1320) เหล่านี้เป็นเครื่องมืออันประเสริฐที่นำพระหรรษทานขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาช่วยเหลือผู้ป่วยเพื่อหลอมพวกเขาให้เข้ากับธรรมล้ำลึกแห่งความตายและการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสต์อย่างเต็มเปี่ยมมากยิ่งขึ้น
พร้อมกับศีลศักดิ์สิทธิ์สองประการนี้พ่ออยากจะเน้นไปที่ความสำคัญของศีลมหาสนิท
การรับศีลมหาสนิทในช่วงเวลาแห่งความเจ็บป่วยเป็นหนทางเดียวที่จะเสริมสร้างอย่างพิเศษให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้โดยรวมบุคคลที่รับพระกายและพระโลหิตของพระคริสต์เข้ามามีส่วนในความเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ที่ทรงมอบตนเองแด่พระบิดาเจ้าเพื่อความรอดพ้นของทุกคน
ชุมชนพระศาสนจักรทั้งมวลและชุมชนวัดเป็นพิเศษควรเอาใจใส่และรับประกันได้ถึงความเป็นไปได้ที่จะให้ผู้ที่ไม่อาจไปร่วมพิธีที่วัดได้ด้วยเหตุผลทางสุขภาพและความชราให้สามารถรับรับศีลมหาสนิทบ่อยๆ
เช่นนี้พี่น้องชายหญิงที่เจ็บป่วยและชราภาพเหล่านี้สามารถเสริมสร้างพลังเข้มแข็งในสัมพันธภาพกับพระคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงและกลับคืนพระชนมชีพด้วยการมีส่วนร่วมในพันธกิจของพระศาสนจักรด้วยชีวิตของพวกเขาที่ถูกยกสูงส่งขึ้นเพื่อความรักของพระคริสต์
จากจุดนี้เองสำคัญอยู่ตรงที่ว่าบรรดาพระสงฆ์ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างดีในโรงพยาบาลในสถานพยาบาลและในบ้านผู้ป่วย
รู้สึกได้ถึงความเป็น "'ศาสนบริกรเพื่อผู้ป่วย'อย่างแท้จริง นั่นคือ
เป็นเครื่องหมายและเครื่องมือแห่งพระเมตตาของพระคริสต์ซึ่งทรงเข้ามาอยู่กับทุกๆคนที่ถูกตราตรึงไว้กับความทุกข์ทรมาน
(สารของพระสันตะปาปาในโอกาสวันผู้ป่วยสากลครั้งที่ 18 วันที่ 22 พฤศจิกายน2009)
การที่ผู้ป่วยถูกหลอมให้เข้ากับธรรมล้ำลึกปัสกาของพระคริสต์ซึ่งเกิดเป็นจริงได้ก็ต้องปฏิบัติการร่วมสนิทสัมพันธ์ด้านชีวิตจิตตชนั้นจะได้รับความหมายพิเศษเมื่อศีลมหาสนิทได้รับและโปรดให้ในฐานะเป็นศีลเสบียง
ในช่วงสุดท้ายแห่งชีวิต พระวาจาของพระเจ้า ที่ว่า : "ผู้ที่กินเนื้อของเรา
และดื่มโลหิตของเราก็มีชีวิตนิรันดรเราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย"
จะกลับมีความหมายมากกว่าที่คิด (ยน 6:54) ศีลมหาสนิทโดยเฉพาะในฐานะเป็นศีลเสบียงนี้ตามความคิดของนักบุญอิกญาซีโอแห่งอันตีโอกหมายถึง
"ยาอายุวัฒนะ ยาต้านพิษความตาย" (จดหมายถึงเอเฟเซียน 20:PG5,661)
ศีลเบิกทางจากความตายสู่ชีวิต จากโลกนี้ไปสู่พระบิดาผู้ทรงรอคอยทุกคนในกรุงเยรูซาเล็มสวรรค์5.หัวข้อสารฉบับนี้ในโอกาสวันผู้ป่วยสากลครั้งที่20ที่ว่า"จงลุกขึ้นไปเถิดความเชื่อของท่านทำให้ท่านรอดพ้นแล้ว"ให้เรามองไปข้างหน้าด้วยมองไปยัง"ปีแห่งความเชื่อ"ที่จะเริ่มในเดือนตุลาคม2012นับเป็นโอกาสดีมีคุณค่าที่จะค้นพบพลังและความงดงามแห่งความเชื่ออีกครั้งหนึ่งและเป็นโอกาสที่จะพิจารณาไตร่ตรองเนื้อหาแห่งความเชื่อด้วย.
|
การเป็นประจักษ์พยานยืนยันถึงความเชื่อในชีวิตประจำวัน
(เทียบ สมณสาสน์เรื่องประตูแห่งความเชื่อ -Porta Fidei- วันที่ 11
ตุลาคม 2011) พ่อขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยและผู้มีความทุกข์ทรมานเพื่อจะได้ประสบกับสมอที่จะยึดเหนี่ยวความเชื่อของตนเองเอาไว้
อีกทั้งได้รับการหล่อเลี้ยงจากพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า การสวดภาวนาส่วนตัวและอาศัยศีลศักดิ์สิทธิ์ขณะเดียวกันพ่อเองเชิญชวนผู้อภิบาลทั้งหลายทำตนให้พร้อมเสมอยิ่งขึ้นสำหรับการเฉลิมฉลองศีลต่างๆเหล่านี้กับผู้ป่วย
ตามแบบฉบับของนายชุมพาบาลที่ดีและในฐานะผู้ดูแลฝูงแกะที่ได้มอบไว้กับผู้อภิบาลให้ดูแล
พระสงฆ์ทั้งหลายควรจะชื่นชมยินดีสนใจผู้อ่อนแอที่สุด คนธรรมดาและคนบาปโดยแสดงให้ประจักษ์เห็นถึงพระเมตตากรุณาขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยพระวาจาที่นำความหวังและความมั่นใจมาสู่พวกเขา
(เทียบจดหมายนักบุญออกัสตินจดหมาย95,1:PL33,351,352) สำหรับผู้ที่กำลังปฏิบัติงานในสนามงานสุขภาพอนามัยดังเช่นครอบครัวที่มองเห็นใบหน้าแห่งความทุกข์ทรมานของพระเยซูคริสต์ในญาติพี่น้อง
พ่อขอแสดงความขอบคุณอีกครั้งในนามของพ่อและของพระศาสนจักรเพราะว่าในฐานะท่านทั้งหลายที่เป็นผู้เชี่ยวชาญวิชาชีพและในท่ามกลางความเงียบเหล่านี้
บ่อยๆ อาจจะไม่ได้อ้างถึงพระนามของพระเยซูเจ้า แต่พวกเขาเองก็ได้แสดงให้เห็นถึงพระองค์ท่านในรูปแบบที่เป็นรูปธรรม(เทียบบทเทศน์ในมิสซาบูชาขอบพระคุณเสกน้ำมัน-
21 เมษายน 2011)
|
เรามอบความวางใจและคำภาวนาของเราแด่พระนางมารีย์พระมารดาแห่งความเมตตากรุณาและพระมารดาความรอดของคนไข้
ขอความเมตตากรุณาเยี่ยงมารดาที่พระนางได้แสดงออกขณะที่ยืนอยู่เคียงข้างพระบุตรที่กำลังสิ้นพระชนม์บนกางเขนทรงอยู่เคียงข้างและเพิ่มพูนความเชื่อตลอดจนความหวังให้แก่ผู้ป่วยและผู้กำลังทุกข์ทรมานทุกคนตลอดเส้นทางแห่งการเยียวยารักษาความบาดเจ็บด้านกายและด้านจิตวิญญาณ
|
พ่อมั่นใจที่จะระลึกถึงท่านทั้งหลายในคำภาวนาของพ่อและขออำนวยพรมายังแต่ละท่านด้วยการอวยพรที่สืบเนื่องมาจากอัครสาวก
|
จากวาติกัน
20 พฤศจิกายน 2011 สมโภชพระเยซูเจ้า กษัตริย์แห่งสากลจักรวาล
|
|
|
Benedictus P.P. XVI
พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16
|
(แปลโดยคณะนักบวชคามิลเลียนประเทศไทย)
|
|