ปีที่ก่อตั้ง 24
มิถุนายน ปี พ.ศ. 2536 / ค.ศ.1993 |
ผู้อำนวยการโครงการ
: บาทหลวงจอห์นสัน มานีปาดัท วากี (OFM) |
ผู้รับผิดชอบโครงการ
: Bro.Athanasius |
บุคลากร : บาทหลวง
1 ภราดา 1 คน ซิสเตอร์ 1 คน เจ้าหน้าที่ประจำ 4 คน อาสาสมัครชาวต่างชาติ
1 คน |
กลุ่มเป้าหมาย ผู้ป่วยเอดส์ระยะที่สาม
โดย |
ก) |
กลุ่มเป้าหมายโดยตรง |
|
1. |
ผู้ป่วยเอดส์ระยะที่สามที่ยากจน
ไร้ญาติ หรือญาติไม่สามารถให้การดูแลรักษาพยาบาลได้ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มาจากโรงพยาบาลของรัฐ |
|
2. |
ผู้ป่วยที่มาจากหน่วยงานต่างๆ
ที่ทำงานช่วยเหลือผู้ติดเชื้อฯและผู้ป่วยเอดส์ |
ข) |
กลุ่มเป้าหมายรอง
กลุ่ม คณะ ที่มาศึกษาดูงาน ซึ่งได้แก่ " บุคลากรของหน่วยงาน สถานพยาบาลและองค์กร
ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาโรคเอดส์ " นักเรียน นิสิต นักศึกษา ปะชาชนทั่วไปที่สนใจปัญหาโรคเอดส์
|
พื้นที่เป้าหมาย
ทั่วประเทศ |
วัตถุประสงค์ |
|
1. |
ทำงานด้านพยาบาลผู้ป่วยเอดส์ขั้นสุดท้าย
|
|
2. |
ทำงานด้านจิตใจเพื่อเตรียมจิตใจผู้ป่วยเอดส์ขั้นสุดท้ายเพื่อให้สามมารถเผชิญความตายได้อย่างสงบ |
|
3. |
เพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้ป่วยในด้านการให้การปรึกษาและให้กำลังใจเมื่อผู้ป่วยเสียชีวิต
หรือในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ก็ให้คำแนะนำครอบครัวให้สามารถยอมรับและดูแลผู้ป่วยได้เอง |
|
4. |
เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของผู้ตั้งคณะนักบุญฟรันซิส
อัสซีซี ที่แสดงความรัก ความเมตตาต่อผู้ป่วยโรคเรื้อนโดยไม่รังเกียจ |
|
5. |
เพื่อผู้ป่วย ครอบครัว
ญาติ และผู้มาศึกษาดูงาน ได้มองเห็นจิตตารมณ์และการทำงานของคณะฟรันซิสกัน
ภราดาน้อยแห่ง ประเทศไทย ตามแบบอย่างของนักบุญฟรันซิส อัสซีซี |
กิจกรรม |
|
1. |
ให้ที่พักอาศัย การดูแล
รักษาพยาบาล ผู้ป่วยเอดส์ขั้นสุดท้าย ปัจจุบันมี 14 เตียง |
|
2. |
ให้กำลังใจผู้ป่วยเอดส์ขั้นสุดท้ายทางด้านจิตใจ
อย่างเหมาะสมทั่วถึงโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา |
|
3. |
ให้การบริการยารักษาโรค
เครื่องเวชภัณฑ์ เครื่องอุปโภคบริโภค รวมถึงสภาพแวดล้อมด้านที่อยู่อาศัยที่ถูกสุขลักษณะ |
|
4. |
ให้บริการแก่ครอบครัวผู้ป่วยที่มาเยี่ยมในเรื่องที่พักอาศัย
อาหาร และให้คำปรึกษา คำแนะนำเรื่องของโรคเอดส์ เป็นต้น ในเรื่องของการดูแลช่วยเหลือ
และที่สำคัญคือการยอมรับผู้ป่วยกลับเข้าสู่ครอบครัวได้ |
|
5. |
เปิดให้บริการด้านการศึกษาดูงาน
การมาเยี่ยมผู้ป่วย ให้กำลังใจแก่หน่วยงานต่างๆ เช่น สถานศึกษา สถานพยาบาล
องค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับโรคเอดส์ กิจกรรมทั้งหมดนี้ดำเนินการโดยนักบวชคณะฟรันซิสกัน
ภราดาน้อย แห่งประเทศไทย โดยมีเจ้าหน้าที่และพนักงานประจำอีกจำหนวนหนึ่ง
เป็นแบบสาธารณกุศล คือ ผู้ใช้บริการไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ในขณะเดียวกัน
บ้านกลาราสามารถรับผู้ป่วยได้จำนวน 14 เตียง โดยคาดว่าในอนาคตจะมีการขยายโครงการเพื่อที่จะรับผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีกทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้มีน้ำใจดีต่างๆ
ที่จะให้ความช่วยเหลือและความร่วมมือกับทางบ้านกลารา |
แนวทางการดำเนินงานของโครงการบ้านกลารา |
|
1. |
การรับผู้ป่วยเข้ารับบริการ
จะยึดหลักตามระเบียบของโครงการบ้านกลารา โดยจะพิจารณาผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ได้ผ่านการตรวจรักษาจากโรงพยาบาล
หรือสถานพยาบาลต่างๆ และถ้ามาจากครอบครัวของผู้ป่วยโดยตรง จะมีเจ้าหน้าที่ร่วมกับอาสาสมัครที่เป็นทีมแพทย์
พยาบาลจากองค์การหมอไร้พรมแดน (Medicins Sans Frontiered /MSF) ประเทศเบลเยี่ยม
มาทำการตรวจรักษาเป็นประจำทุกสัปดาห์ |
|
2. |
ชีวิตความเป็นอยู่ภายในบ้านกลารา
ทางบ้านได้จัดกิจวัตรประจำวันเป็นเสมือนบ้านของผู้ป่วยโรคทั่วไป เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกอบอุ่น
คุ้นเคย ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ครอบครัวยอมรับผู้ป่วยเอดส์ได้ อันเป็นความหวังและทางออกสำหรับการแก้ปัญหาการทอดทิ้งผู้ป่วยโรคเอดส์ในขณะนี้
ซึ่งตรงกับแนวนโยบายหลักของรัฐที่พยายามเตรียมครอบครัวและสังคมให้พร้อมรับกับปัญหาโรคเอดส์ |
|
3. |
การส่งผู้ป่วยออก แบ่งออกเป็น
2 กรณี คือ |
|
|
3.1 ส่งออกเมื่อผู้ป่วยเสียชีวิต
ซึ่งส่วนใหญ่ศพจะถูกส่งไปยังสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ โดยมูลนิธิกู้ภัย
เนื่องจากเป็นศพไร้ญาติ แต่มีบางรายเท่านั้นที่ญาติมารับศพไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณี
|
|
|
3.2 ส่งออกเมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นและสามารถช่วยเหลือตนเองได้
ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ ส่งกลับบ้านเมื่อครอบครัวพร้อมที่จะรับผู้ป่วยไปดูแลเอง
หรือส่งต่อไปยังหน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่เตรียมความพร้อมให้กับเขาเพื่อจะได้กลับเข้าสู่สังคมอีกครั้ง
|