|
ท่าทีของบุคลากรทางการแพทย์กับความตาย
"ไม่มีใครมีสิทธิ์กำหนดความตายให้ใครได้ แม้เป็นคนที่สังคมได้ลงความเห็นแล้วว่าเป็นคนโชคร้าย
กำพร้า หรือพิการแต่กำเนิด" |
ชมรมเวชบุคคลคาทอลิกแห่งประเทศไทย
มีกำเนิดจากคณะแพทย์คาทอลิกที่รวมตัวกันตั้งเป็น "คณะแพทย์คาทอลิก"
เมื่อปี 2510 ภายใต้การดูแลของมุขนายกแห่งมิสซังกรุงเทพฯ และเป็นเครือข่ายหนึ่งของสมาคมคาทอลิกแห่งประเทศไทย
เพื่อทำการศึกษาและทำความเข้าใจข้อคำสอนของพระศาสนจักรที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพแพทย์
ต่อมา คณะแพทย์คาทอลิก เห็นว่าจำนวนสมาชิกมีน้อยและยังมีเวชบุคคลคาทอลิกด้านอื่นๆ
ที่ยังไม่มีการจัดตั้งกลุ่มจึงรวมบรรดาแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และบุคลากรทางการแพทย์ทุกสาขา
เพื่อร่วมกันทำกิจกรรมและได้เปลี่ยนชื่อเป็น ชมรมเวชบุคคลคาทอลิก ขึ้นโดยมีนักบุญลูกาเป็นองค์อุปถัมภ์
ทุกปีในวันที่18 ตุลาคมซึ่งเป็นวันฉลองนักบุญลูกา ทางชมรมจัดกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมด้านสังคมหรือกิจกรรมทางวิชาการแก่สมาชิก
ปัจจุบัน นายแพทย์ฤทธิไกร อัครสกุล รักษาการประธานชมรมฯ
ชมรมเวชบุคคลคาทอลิกแห่งประเทศไทย
จัดประชุมประจำปี 2546 ที่ชั้น 11 ตึกรวมจิตเพียรธรรม โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์
กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2546 ในหัวข้อ "ท่าทีของบุคลากรทางการแพทย์กับความตาย:ประสบการณ์ของผู้ป่วยและผู้ปฏิบัติงานกับผู้ป่วย"
มีบรรดาแพทย์ เภสัชกร พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ เข้าร่วมประชุม 40
คน วิทยากรสำคัญที่มาแบ่งปันประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยและความตาย
คือ บาทหลวงแสวง สามิภักดิ์ บาทหลวงสมชาย อัญชลีพรสันต์ ศาตราจารย์นายแพทย์วรวุฒิ
จรรยาวนิช นายธนาพัทธ์ โพธิยา โดยร่วมกันแบ่งปันประสบการณ์ โดยบาทหลวงแสวงกล่าวในฐานะผู้ป่วยว่า
"โดยทั่วไปคนไข้ที่เดินเข้ามาในโรงพยาบาลล้วนแต่มาพร้อมกับความเครียด
และเมื่อต้องอยู่ในโรงพยาบาลแล้วอาการเครียดก็ยิ่งมากขึ้น เพราะ 1.ไม่คุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว
2.สูญเสียเสรีภาพและความเป็นส่วนตัว 3.เพื่อนร่วมห้องมีแขกมาก ฯลฯ แต่คนไข้ก็ยังจำเป็นต้องอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อรักษาโรค
ภัย ฉะนั้น หมอที่ดีที่คนป่วยอยากเห็นไม่ใช่หมอที่รักษาไม่ให้ตายเท่านั้น
แต่เป็นหมอที่มีความเมตตาและรักคนไข้"
บาทหลวงสมชาย กล่าวในฐานะผู้อภิบาลผู้ป่วยใกล้ตาย "บ่อยครั้งที่บุคลากรเวชบุคคลฯ
ละเลยต่อเสียงร้องของคนป่วยเพราะความเคยชิน จนพลาดโอกาสดูแลเขาในวินาทีสุดท้ายก่อนสิ้นใจ
ดังนั้นการเตรียมตัวผู้ป่วยใกล้ตายอย่างดีเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะอาจเป็นโอกาสที่คนหนึ่งจะเสียความเชื่อมั่นต่อตนเองและต่อพระเป็นเจ้าได้
ผู้ที่อยู่ในวิชาชีพนี้ถือเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อคนป่วยมาก ขอฝากว่า
"คุณเองก็สามารถมีหัวใจแห่งการอภิบาลได้ โดยประคับประคองเขาไปให้ถึงจุดหมายนั้น
ไม่ปล่อยให้เขาเดินทางตามลำพังและอย่าห่วงว่าคุณจะทำหน้าที่นั้นไม่ดีเพียงพอ
เพราะคนที่มีหัวใจต่อคนป่วยอย่างจริงใจแล้ว เมื่อภารกิจสำคัญอยู่ตรงหน้าพระเป็นเจ้าจะประทานวิธีการรักษามาให้คุณเอง"
คุณธนาพัทธ์
ในฐานะเคยมีประสบการณ์ใกล้ความตายจากการติดเชื้อเอชไอวีเล่าว่า "เพราะอาการป่วยนั้นทำให้มีโอกาสสัมผัสกับการทำงานของบุคลากรในโรงพยาบาล
แต่เป็นสัมผัสด้วยคำพูดและท่าทีที่ซ้ำเติม ในประสบการณ์นั้นทำให้เข้าใจสภาพของคนที่ใกล้จะตายว่า
สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดก็คือ เพื่อนสักคนที่นั่งเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ
ส่วนคนป่วยที่ใกล้ตายแต่ไม่ยอมแพ้ชีวิต ผู้ที่ให้กำลังใจที่ดีที่สุดไม่ใช่ใครที่ไหนแต่คือ
ตัวเขาเอง"
นายแพทย์วรวุฒิ ให้ข้อคิดในฐานะแพทย์และอาจารย์ว่า "สิทธิการตาย
การอนุมัติให้ตาย แนะนำให้ตาย ปล่อยให้ตายเองโดยปราศจากความเจ็บปวด การส่งเสริมให้ตาย
ข้อต่างๆ เหล่านี้ไม่มีใครมีสิทธิ์กำหนดความตายให้กับใครได้ แม้เป็นคนที่สังคมได้ลงความเห็นแล้วว่าเป็นคนโชคร้าย
หรือกำพร้า หรือเกิดมาแล้วจะพิการ ดังนั้นสถาบันการศึกษาแพทย์มีภาระหน้าที่ต้องส่งเสริมคุณธรรม-จริยธรรมกับนิสิตมากเท่ากับวิชาแพทย์
เพราะแพทย์ต้องช่วยคนไข้ระยะสุดท้ายด้วยวิจารณญาณ และด้วยความรักควบคู่กันไป
ในการจัดการบริหารความเสี่ยงทางการแพทย์กับคนป่วยจะประสบความสำเร็จได้สูงสุดก็จากบุคลากรที่เกี่ยวข้องได้ดูแลคนป่วยในเบื้องต้นมาอย่างดี"
ภาคบ่ายมีการปรึกษาแนวทางการดำเนินงานของชมรมฯ ที่ประชุมร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาพบว่าเนื่องจากการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องยังมีน้อย
และยังมีข้อเสนอว่าควรสนับสนุนให้เกิดชมรมเวชบุคคลคาทอลิกในกลุ่มโรงพยาบาลคาทอลิก
รวมถึงกลุ่มสถาบันต่างๆ และคณะนักบวชให้เกิดความเข้มแข็ง นอกจากนี้ชมรมฯ
ต้องเร่งติดตามนิสิตแพทย์คาทอลิกซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของชมรม
เพื่อปูพื้นฐานด้านจิตตารมณ์ความเชื่อคาทอลิก
จากนั้นผู้เข้าร่วมประชุมร่วมบูชามิสซาโอกาสฉลองนักบุญลูกาองค์อุปถัมภ์เวชบุคคลฯ
ที่วัดพระจิตเจ้าด้วยกัน |
|
|