|
บทความแปล |
"การอภิบาลผู้ใกล้ตาย"
|
ถอดความโดย บาทหลวงนรินทร์
ศิริวิริยานันท์
จากหนังสือ DOLENTIUM HOMINUM ฉบับที่ 51 ปี ที่ 17 ปีค.ศ.2002 |
การทำงานอภิบาลผู้ใกล้ตายถือว่าเป็นงานที่มีเกียรติมาก
แต่การทำงานแบบนี้ยังต้องขึ้นกับบรรยากาศวัฒนธรรมที่ ดูเหมือนจะไม่อยากได้ยินคำว่า
"ตาย" ทั้งนี้อาจเป็นเพราะบรรยากาศของวัตถุนิยมและสุขนิยมที่คิดว่า
"ความตาย" เป็นเรื่องต้องห้าม ความเจริญก้าวหน้าทางด้านการแพทย์
ฯลฯ จะเห็นได้จากการที่ไม่ใช้คำว่าตายโดยตรง แต่เลี่ยงไปใช้คำอื่นแทน
เช่น "เขาได้จากโลก
จากเราไปแล้ว" หรืออะไรทำนองนี้ทำให้ความตายไม่มีคุณลักษณะของมนุษย์เหลืออยู่เลย
แต่ทุกคนทราบดีว่าความตายเป็นของแน่นอนที่สุด จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องเอาชนะความกลัวนี้ให้จงได้
และเพื่อจะสามารถเอาชนะบรรยากาศดังกล่าวได้ ต้องทำให้ความตายมีคุณลักษณะของมนุษย์มากขึ้น
เช่น ควรตื่นตัว กับความตาย พยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับความตายไม่ใช่วิ่งหนี
แต่ให้รู้จักทำใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย และให้เรียนรู้เกี่ยวกับความตาย
โดยธรรมชาติเมื่อรู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับความตาย
จะเกิดความเศร้าซึ่งมีผลต่อท่าทีและสภาพของจิตใจอันก่อ ให้เกิดความสับสนหรือความขมขื่นขึ้นได้
อย่างไรก็ตามการยอมรับการต่อสู้ การประท้วง หรือกระทั่งการปิดตัว ล้วนก่อให้เกิดความสิ้นหวัง
ความหดหู่ทั้งสิ้น ส่งผลไปสู่การ สะเทือนใจ ความกลัว ความเศร้าฯลฯ
ตามมา จึงจำเป็นที่เขาจะต้องได้รับความบรรเทาใจจากทั้งภายในและภายนอก
ภายนอก ก็เช่น การมีสถานที่พยาบาลหรือผู้ให้การพยาบาลที่ดีรวมทั้งหยูกยาอีกด้วย
กำลังใจจากคนใกล้ชิดและการเงิน
ภายใน เช่น ปรัชญาชีวิต ความเชื่อในหลักธรรมคำสอน ชีวิตฝ่ายจิตและคำภาวนา
ตัวอย่างของการสนทนาที่ทำให้รู้ถึงปฏิกิริยาและท่าทีของผู้กำลังตายและรูปแบบของความสัมพันธ์ของผู้ให้
การอภิบาล
แจ๋ว อายุห้าสิบปี
มีครอบครัวแล้วและมีลูกสาวสามคน เธอเข้าโรงพยาบาลได้สิบกว่าวันแล้วเพื่อรักษาโรคมะเร็งตับ
เธอสารภาพกับบาทหลวงที่ไปเยี่ยมและรับฟังเรื่องราว ของเธอด้วยความเห็นใจว่า
: เธอเบื่อชีวิตไม่อยากเห็นผู้คนจึงแกล้งทำเป็นหลับตลอดเวลา เธอบ่นต่อไปอีกว่าเธอพยายามสวดขอพระเป็นเจ้าแต่ดูเหมือนพระองค์จะไม่ฟังคำภาวนาของเธอ
บาทหลวงนิ่งฟังอย่างสงบแต่แสดงความเห็นใจ แล้วเธอก็เริ่มบ่นว่าโรคร้ายนี้ได้ทำลายชีวิตของเธอ
มันเริ่มขึ้นที่เต้านมเมื่อเจ็ดปีก่อนนี้แล้วลามไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะผ่าตัด
ไปแล้วก็ตามโรคร้ายยังสร้างความเจ็บปวดทุกข์ทรมานให้เธอทั้งร่างกายและจิตใจ
ประการสำคัญจะให้เธอบอกกับสามีและลูกๆ ได้อย่างไรว่า "เธอกำลังจะตาย"
บาทหลวงพยายามบรรเทาใจเธอและแนะนำให้เธอบอกความจริงให้แก่ครอบครัวของเธอ
แต่เธอเองกลับทำใจไม่ได้เพราะกลัวว่าพวกเขาจะต้องเป็นทุกข์มากขึ้น
บาทหลวงกล่าวว่า การเจ็บป่วยคราวนี้คงสอนอะไรเธอบางอย่างเป็นแน่ เธอตอบว่าใช่
เพราะมันสอนเธอว่าสามีและลูกๆ ของ เธอเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดสำหรับเธอ
.บาทหลวงชวนเธอให้ภาวนาด้วยกันแต่ดูเหมือนว่าเธอยังทำใจไม่ได้
พร้อมกันนี้ เธอสารภาพอีกว่าเธอห่างเหินจากพระเจ้ามาช้านานแต่บาทหลวงให้กำลังใจว่า
"พระอยู่ใกล้เธอเสมอ" เธอยิ้มกับถ้อยคำประโยคนี้ "ขอบคุณคุณพ่อที่ได้แวะเยี่ยม"
จากการสนทนานี้จะเห็นว่า
แจ๋วมีความรู้สึกผิดหวังต่อพระเป็นเจ้าที่ดูเหมือนไม่ได้ฟังคำภาวนาของเธอ
เธอเศร้ากับโรคภัยไข้เจ็บ เสียใจกับชีวิตที่ทำให้คนรอบข้างต้องเป็นทุกข์
แต่งานอภิบาลที่ดีการมีความรู้สึกร่วมและเต็มไปด้วยความเคารพซึ่งแสดงออกได้จากเวลาที่สนทนากับ
คนป่วย ความเห็นอกเห็นใจ รู้จักเงียบ รู้จักสนทนาด้วยท่าทางที่เป็นมิตรและจริงใจและการภาวนาในตอนสุดท้าย
ทำให้คนป่วยเปิดใจกล้าพูดถึงความเจ็บปวดและความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองออกมาได้
|
ท่าทีที่ควรหลีกเลี่ยงในการไปเยี่ยมผู้ป่วยหนักคือ |
1. การแสดงใบหน้าบอกบุญไม่รับ
2. แสดงความสงสารมากกว่าความเคารพ
3. เห็นว่าเขาเป็นคนป่วยมากกว่าเป็นบุคคล
4. พูดแต่เรื่องเจ็บป่วยโดยที่ไม่ได้สอดแทรกเรื่องอื่นเข้า
5. ใช้คำพูดที่รบกวนมากกว่าให้ความบรรเทา
6. พูดถึงการเปลี่ยนแปลงอันเกิดจากความตายหรือไปตัดสินความรู้สึกของเขาเช่นว่า
"อย่าพูดเช่นนั้น" "เธอไม่ควรมีความรู้สึกเช่นนั้น"
ฯลฯ หรือให้ความหวังอย่างลมๆแล้งๆ
|
ท่าทีที่ควรปฏิบัติต่อคนป่วย
อันทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งในการมาเยี่ยม และดีใจที่ได้พบเรา |
1. ยอมรับฟังและยอมรับกับความเงียบ
2. เคารพต่อการเลือกของผู้ป่วย
3. เคารพความเชื่อที่แตกต่าง
4. พูดถึงเรื่องความหลังบ้าง
5. พูดถึงประสบการณ์และผลสำเร็จของเขาบ้าง
6. ยอมรับการสารภาพของเขา
7. ทำให้สิ่งเล็กน้อยมีคุณค่าโดยนำเอาทรัพยากรด้านมนุษย์ และด้านฝ่ายจิตของเขาออก
8. อย่าอยู่นาน
9.การเยี่ยมที่เต็มไปด้วยความรู้สึกร่วมจะทำให้คนป่วยมีความหวังตามความเป็นจริงและระลึกถึงด้วยความรู้คุณและดำเนินชีวิตธรรมล้ำลึกของชีวิตและความตายต่อไปอย่างมีคุณค่าฯลฯเป็นต้น
ทั้งนี้ในการอภิบาลผู้ใกล้ตายไม่เพียงต้องนำคุณค่าทั้งของผู้เยี่ยมออกมาสัมผัสกับผู้ป่วยเท่านั้น
แต่จำเป็นต้องมีการฝึกฝนทักษะในการอภิบาล เพื่อให้การเยี่ยมเยียนนี้เต็มไปด้วยพระพรของทั้งสองฝ่าย
|
|
|