บทความแปล |
(สรุปความจาก ADDRESS
OF THE HOLY FATHER JOHN JOHN PAUL II เรื่อง Depressive Illness can
be a Way to Discover Other Aspects of Oneself and New Forms of Encounter
with God จากเอกสาร DOLENTIUM HOMINUM ฉบับ 55 / 2004) แปลโดย ชลอ วรรณประทีป |
|
ในโอกาส ประชุมวิชาการของนายแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความเครียด
ครั้งที่ 18 ที่จัดโดย สมณสภาเพื่อการอภิบาลบุคลากรทางการแพทย์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน
2546 โอกาสนั้นสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ทรงกล่าวปราศรัยกับบรรดาเวชบุคคลคาทอลิก
ซึ่งมีใจความสำคัญว่าดังนี้ |
พระองค์ทรงชื่นชมต่อพวกเขาที่เพียรพยายามค้นคว้าเพื่อแสวงหาหนทางที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยจากอาการเครียด
และทรงขอบคุณต่อผู้ที่เอาใจใส่ดูแลผู้ที่ป่วยด้วยโรคเครียด และช่วยสร้างให้พวกเขามีความหวังในชีวิต |
ด้วยการแบ่งปันของบรรดาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญนี้เองทำให้โลกได้ทราบถึงสาเหตุของอาการเครียดที่มีแง่มุมอันสลับซับซ้อน
เพื่อเป็นหนทางในการป้องกันในอนาคต นั่นคือ ความเครียดต่างๆ ที่อาจจะเริ่มมาจากอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง
ความไม่ปรองดองกันระหว่างสามีภรรยาหรือภายในครอบครัว ปัญหาในการทำงาน
ความว้าเหว่ และอื่นๆ ซึ่งก่อให้เกิดการขาดความสมดุล จนมีผลต่อสัมพันธ์ภาพในมิติต่างๆ
ขาดสะบั้นลงไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคม อาชีพ หรือครอบครัว อาการเซ็งหรือเบื่อหน่ายชีวิต
จนที่สุดลุกลามไปเป็นวิกฤตทางจิตวิญญาณอันเป็นอุปสรรคต่อผู้ป่วยจนไม่สามารถเข้าใจความหมายของชีวิตได้ |
โรคเครียดน่ารำคาญมากมันส่อให้เห็นถึงความอ่อนแอของมนุษย์
ซึ่งในแง่หนึ่งต้องโทษสังคมด้วย เราต้องทันกับสื่อที่มักเสนอไปในทำนองยกย่องบริโภคนิยม
การชอบความสุขแบบชั่วคราว และการแก่งแย่งกันแสวงหาความสุข เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องหาหนทางใหม่ให้คนสร้างเอกลักษณ์ของตนในการสร้างชีวิตจิตซึ่งจะเป็นฐานรากของการเจริญชีวิตแบบผู้ที่มีวุฒิภาวะ |
สมเด็จพระสันตะปาปา ทรงเน้นว่าอาการเครียดเป็นความทุกข์ทรมานใจ
ดังนั้นบทบาทของพวกท่านในฐานะผู้ดูแลก่อนอื่นหมดต้องช่วยให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกชื่นชมตนเอง
ความเชื่อมั่นในความสามารถของตน มีความสนใจในอนาคตและอยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
ไปจนถึงได้รับรู้ถึงพระเมตตาของพระเป็นเจ้า ให้เขาเข้าไปอยู่ในความเชื่อและชีวิตของชุมชน
และด้วยพื้นฐานความเชื่อเดียวกันนี้เองเราจะรู้สึกว่าเป็นที่ยอมรับ เข้าใจ
มีคนคอยสนับสนุนให้เกียรติต่อกันและกัน พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเขาสามารถที่จะรักและถูกรักได้
|
ปรากฏการณ์ของโรคเครียด
เตือนใจพระศาสนจักรและสังคมให้เห็นถึงความสำคัญที่ต้องมีแบบอย่างและประสบการณ์ของความอดทน
เพื่อให้ผู้ป่วยพัฒนาขึ้นในด้านชีวิตจิต โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน ที่นับวันจะอ่อนแอมากขึ้น
ไม่ใช่แต่ผู้ที่ถูกทอดทิ้ง คนป่วย หรือผู้สูงอายุ ที่ทุกส่วนของสังคมต้องช่วยกันชวยเหลือพวกเขาให้หลุดพ้นจากความว่างเปล่า
หรือจากการแสวงหาสิ่งที่ไร้ค่า ท้ายสุดพระสันตะปาปาได้ให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานช่วยเหลือบรรดาผู้ที่เจ็บป่วยด้วยโรคเครียดและทรงมอบพวกเขาไว้ในคำภาวนาของแม่พระ
ผู้เป็นพระมารดาและองค์ความบรรเทาของผู้ป่วย |
โรคภัยไข้เจ็บ เป็นผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นระหว่างที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
ความเข้าใจของเราต่อเรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของคนหนึ่งคน
เพราะเราเห็นว่าอาการของโรคสร้างความทุกข์ให้กับตัวผู้ป่วยเอง แต่ในความเป็นจริงความเจ็บป่วยของหนึ่งคนมีความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
และอาจกระทบต่อสังคม ชุมชนได้ หากโรคภัยไข้เจ็บนั้นได้ชื่อว่า เป็น
"โรคติดต่อฯ" และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "โรคเอดส์"
|
ปัจจุบันคนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เข้าใจเรื่องโรคเอดส์อย่างแท้จริง
ทำให้มีผลต่อทัศนะคติและท่าทีต่อผู้ป่วยฯ ขณะที่ทางเลือกด้านสุขภาพของผู้ติดเชื้อฯ
ในขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนหรือยารักษา"โรคเอดส์" ให้หายขาดได้ดังนั้นจึงมีความพยายามหาทางรักษาในรูปแบบต่างๆ
ซึ่งเราคงเคยได้ยินกระแสออกมาอยู่เนืองๆ เรื่อง "ยาสมุนไพรรักษาโรคเอดส์"
ที่เล่าลือออกมาว่ากินแล้วหาย จะอย่างไรก็ตามเราไม่อาจยืนยันได้แน่ชัดว่า
"สมุนไพร" ที่เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านจะมีสรรพคุณรักษาโรค "ภูมิคุ้มกันบกพร่อง"
ได้จริง แต่ความสนใจอยู่ที่ว่ากระแสภูมิปัญญาชาวบ้านได้เข้ามาอยู่ในชีวิตของคนไทยอีกครั้งก็น่าจะเป็นโอกาสให้เรากลับมารื้อฟื้นความดีของสิ่งนี้กันใหม่
และหากวิเคราะห์กันดีๆ แล้ว โรคที่ภูมิปัญญาพื้นบ้านสามารถรักษาให้หายขาดได้ก็คือ
"ภูมิความรักบกพร่อง" |
|
หมอขวัญ คือใคร
หมอขวัญหรือหมอชาวบ้าน คือผู้ใหญ่ในชุมชน ที่อาจมีความรู้ความชำนาญทางด้านยาสุมนไพรอยู่
แต่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นอยู่ที่ว่าเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพนับถือของชุมชน
รักสมาชิกในชุมชนเหมือนลูกหลานตนเอง ซึ่งจุดนี้จะทำให้หมอขวัญคอยติดตาม
สังเกตและถามไถ่ลูกหลานในหมู่บ้านที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป นั่นเป็นเพราะโดยธรรมชาติแล้วผู้ที่รู้ตัวว่าติดเชื้อฯ
มักจะหลบหน้าและไม่ยอมรับการรักษาจากชุมชน ท้ายสุดก็หนีเตลิดไปอย่างน่าเสียดาย |
หมอขวัญจะใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเข้าไปเกลี้ยกล่อมให้ผู้ป่วยออกมารักษาตัวเอง
จากนั้นก็ทำการวินิจฉัยโรคตามอาการแล้วรักษาไปพร้อมๆ กับรักษาด้านจิตใจ
โดยให้กำลังใจเพื่อฟื้นฟูภูมิต้านทาน ซึ่งโรคภัยที่ร่างกายแสดงออกนั้น
ทางการแพทย์เรียกว่า โรคข้างเคียง หรือโรคฉวยโอกาส นั่นเอง ในการดูแลขั้นท้ายสุดจะเป็นการผูกข้อมือเพื่อเสริมด้านจิตใจ
แล้วจากนั้นอยู่ที่การปฏิบัติตนของผู้ติดเชื้อฯ ว่าจะใช้ชีวิตตามที่หมอขวัญแนะนำหรือไม่
สำหรับพิธีผูกข้อมือสู่ขวัญ ถือเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากชุมชน
มีการสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน เพราะมีระบบความคิด มีกระบวนการศึกษา มีขั้นตอนการรักษาอย่างเป็นระบบ
เพียงแต่ไม่ได้มีบันทึกเป็นตำราที่สอนกันในสถาบันการศึกษาเท่านั้น |
รัฐเองรู้ดีว่ายังมี
"ภูมิปัญญาชาวบ้าน" อยู่ในมุมต่างๆ ของชุมชนแต่ขณะนี้องค์ความรู้ของคนไทยยังไม่รับการบรรจุให้เข้ามาอยู่ในหลักสูตรการศึกษา
พ่อเฒ่าทองจึงได้ฝากถึงลูกหลานคนไทยเอาไว้ว่า "ขอให้สำนึกในบุญคุณภูมิปัญญาที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายในอดีตเก็บสะสมมา
อย่าตามฝรั่งไปเสียทุกเรื่อง เพราะจิตวิญญาณของเราเองรู้ดีว่าบางเรื่องก็ไม่งามพอที่จะให้เราตามเขาไป"
|